โปรโมชั่น มา 3 ท่าน ลดเหลือ 3500
เครื่อง AED และการทําcpr  คู่มือช่วยชีวิตฉุกเฉิน
หมวดหมู่สินค้า: คลังความรู้ (Blog Knowledge)
ต่อยอดทักษะปฐมพยาบาล! เรียนรู้วิธีรับมือภาวะช็อก, สิ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ, สารพิษ, ไฟไหม้, จมน้ำ, ไฟฟ้าช็อต และเหตุฉุกเฉินอื่นๆ

25 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้ชม 43 ผู้ชม

 

คุณเคยคิดไหมว่าชีวิตคนเราเปราะบางแค่ไหน? อุบัติเหตุหรือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และหลายครั้ง...วินาทีชีวิตก็ขึ้นอยู่กับว่ามีใครที่ "รู้" และ "ทำ" การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นหรือไม่! บทความนี้ไม่ได้มีไว้ให้อ่านผ่านๆ นะครับ แต่เป็นคู่มือที่จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต เป็นความรู้ที่จะทำให้คุณกลายเป็น "ฮีโร่" ในสถานการณ์คับขันได้เลยล่ะ

ความสำคัญของการปฐมพยาบาลเบื้องต้น CPR และ AED

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่เรื่องของหมอหรือพยาบาลเท่านั้น แต่มันคือทักษะชีวิตที่ทุกคนควรมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation) หรือการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน และการใช้เครื่อง AED (Automated External Defibrillator) หรือเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ สองสิ่งนี้คืออาวุธสำคัญในการต่อสู้กับภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย

เครื่อง AED และการทําcpr  คู่มือช่วยชีวิตฉุกเฉิน

ทำไม CPR ถึงสำคัญ?

ลองนึกภาพตามนะครับ เมื่อหัวใจหยุดเต้น เลือดก็ไม่ไปเลี้ยงสมองและอวัยวะสำคัญอื่นๆ ทุกวินาทีที่ผ่านไป โอกาสรอดชีวิตก็ลดลงเรื่อยๆ CPR คือการ "ปั๊มหัวใจ" ภายนอกร่างกาย เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้บ้าง แม้จะไม่เท่ากับตอนหัวใจเต้นปกติ แต่มันก็ช่วย "ซื้อเวลา" ให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดมากขึ้น จนกว่าทีมแพทย์จะมาถึง

AED คืออะไร และทำงานอย่างไร?

AED คือเครื่องมืออัจฉริยะที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย แม้แต่คนที่ไม่เคยฝึกก็ยังพอใช้ได้ (แต่การฝึกจะทำให้มั่นใจขึ้นเยอะ!) เครื่อง AED จะวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจของผู้ป่วย ถ้าพบว่าเป็นคลื่นไฟฟ้าที่ผิดปกติและสามารถรักษาได้ด้วยการช็อกไฟฟ้า เครื่องจะแนะนำให้เรากดปุ่มเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ

ขั้นตอนการทำ CPR (Cardiopulmonary Resuscitation)

การทำ CPR ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ คือหัวใจสำคัญของการช่วยเหลือผู้ป่วย เรามาดูขั้นตอนกันแบบละเอียดเลยครับ

การประเมินสถานการณ์และความปลอดภัย

ก่อนจะเข้าไปช่วยใคร ต้องแน่ใจก่อนว่า "เรา" ปลอดภัย! ดูรอบๆ ตัวก่อนว่ามีอันตรายอะไรไหม เช่น ไฟไหม้ รถชน หรือมีสารเคมีรั่วไหล ถ้าไม่ปลอดภัย อย่าเพิ่งเข้าไป ให้โทรแจ้งหน่วยกู้ภัยก่อน

ตรวจสอบการตอบสนองและการหายใจ

เข้าไปใกล้ๆ ผู้ป่วย ตบไหล่เบาๆ แล้วเรียกดังๆ "คุณครับ! คุณครับ!" ถ้าเขาไม่ตอบสนอง ให้สังเกตการหายใจ ดูว่าหน้าอกมีการกระเพื่อมขึ้นลงไหม หรือมีเสียงหายใจหรือไม่ ถ้าไม่ตอบสนองและไม่หายใจ หรือหายใจเฮือกๆ (เหมือนปลาขาดน้ำ) ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าหัวใจอาจหยุดเต้น

โทรขอความช่วยเหลือ (1669)

รีบโทร 1669 (สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ) ทันที! บอกรายละเอียดให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ไหน มีคนหมดสติ ไม่หายใจ และขอเครื่อง AED ด้วย ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย ให้บอกเขาโทรให้ แล้วเราเริ่มทำ CPR ได้เลย

เริ่มการกดหน้าอก (Chest Compressions)

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด! การกดหน้าอกที่มีคุณภาพ จะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้

ตำแหน่งมือที่ถูกต้อง

วางส้นมือข้างหนึ่งตรงกลางหน้าอก (บริเวณกระดูกหน้าอก) ระหว่างหัวนมทั้งสองข้าง แล้ววางมืออีกข้างหนึ่งทับ ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกัน แขนเหยียดตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ให้หัวไหล่อยู่เหนือมือ

ความลึกและความถี่ในการกด

กดหน้าอกให้ลึกลงไปประมาณ 5-6 เซนติเมตร (สำหรับผู้ใหญ่) ด้วยความเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที กดแล้วปล่อยให้หน้าอกคืนตัวเต็มที่ก่อนจะกดครั้งต่อไป ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่าหยุด!

การช่วยหายใจ (Rescue Breaths)

หลังจากกดหน้าอกครบ 30 ครั้ง ให้ช่วยหายใจ 2 ครั้ง โดยการเปิดทางเดินหายใจ (แหงนหน้า เชยคาง) บีบจมูกผู้ป่วย ประกบปากให้สนิท แล้วเป่าลมเข้าไป จนเห็นหน้าอกยกขึ้น ทำซ้ำ 2 ครั้ง แล้วกลับไปกดหน้าอกต่อ

CPR สำหรับผู้ใหญ่ เด็ก และทารก (ข้อแตกต่าง)

หลักการทำ CPR คล้ายกัน แต่มีข้อแตกต่างเล็กน้อยในเรื่องของแรงกดและความลึก

  • ผู้ใหญ่: กดหน้าอกลึก 5-6 ซม.
  • เด็ก (1 ขวบ - วัยรุ่น): กดหน้าอกลึกประมาณ 5 ซม. หรือ 1/3 ของความหนาหน้าอก
  • ทารก (แรกเกิด - 1 ขวบ): ใช้เพียงนิ้วสองนิ้วกดตรงกลางหน้าอก (ใต้แนวหัวนม) ลึกประมาณ 4 ซม. หรือ 1/3 ของความหนาหน้าอก

การใช้เครื่อง AED (Automated External Defibrillator)

เครื่อง AED คือพระเอกขี่ม้าขาวที่จะมาช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้อย่างมาก

เมื่อไหร่ควรใช้ AED?

ใช้ AED ทันทีที่เครื่องมาถึง! ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก ไม่ต้องกลัวว่าจะใช้ผิด เพราะเครื่องจะแนะนำเราทุกขั้นตอน

ขั้นตอนการใช้ AED อย่างละเอียด

  1. เปิดเครื่อง: AED ส่วนใหญ่จะเปิดเองเมื่อเปิดฝา หรือมีปุ่มเปิดชัดเจน
  2. ติดแผ่นนำไฟฟ้า: แผ่นนำไฟฟ้าจะมีรูปบอกตำแหน่งที่ต้องติด (แผ่นหนึ่งติดใต้กระดูกไหปลาร้าขวา อีกแผ่นติดใต้ราวนมซ้าย)
  3. เครื่องวิเคราะห์: เครื่องจะบอกให้ทุกคน "ถอย" ห้ามสัมผัสตัวผู้ป่วยขณะเครื่องกำลังวิเคราะห์คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  4. ช็อกไฟฟ้า (ถ้าจำเป็น): ถ้าเครื่องบอกว่า "แนะนำให้ช็อก" ให้กดปุ่มช็อก (มักจะเป็นปุ่มสีส้มใหญ่ๆ) *ก่อนกด ต้องแน่ใจว่าไม่มีใครสัมผัสตัวผู้ป่วย*
  5. ทำ CPR ต่อ: หลังจากช็อกแล้ว ให้ทำ CPR ต่อทันที (กดหน้าอก 30 ครั้ง สลับช่วยหายใจ 2 ครั้ง) ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง หรือผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกตัว

ข้อควรระวังในการใช้ AED

  • ห้ามใช้ AED ในบริเวณที่มีน้ำ หรือผู้ป่วยตัวเปียก (เช็ดตัวให้แห้งก่อน)
  • ห้ามใช้ AED กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี (เว้นแต่จะมีแผ่นนำไฟฟ้าสำหรับเด็ก)
  • ถ้าผู้ป่วยมีเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) ให้ติดแผ่น AED ห่างจากเครื่องอย่างน้อย 1 นิ้ว
  • อย่าวางแผ่น AED ทับบนแผ่นแปะยา (เช่น แผ่นแปะแก้ปวด) ให้ลอกออกก่อน

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นอื่นๆ ที่ควรรู้

นอกจาก CPR และ AED แล้ว ยังมีภาวะฉุกเฉินอื่นๆ ที่เราอาจเจอได้ในชีวิตประจำวัน การมีความรู้เบื้องต้นจะช่วยให้รับมือได้อย่างถูกต้อง

การจัดการกับภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

รู้ทันสัญญาณอันตราย และวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น จะช่วยลดความรุนแรงของอาการ และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต

ภาวะหัวใจวาย

อาการ: เจ็บหน้าอกแน่น เหมือนมีอะไรมาทับ ร้าวไปที่แขนซ้าย กราม หรือหลัง, หายใจลำบาก, เหงื่อออกมาก, คลื่นไส้ อาเจียน
การปฐมพยาบาล: โทร 1669, ให้ผู้ป่วยนั่งพักในท่าที่สบาย, คลายเสื้อผ้าให้หลวม, ถ้าผู้ป่วยมียาอมใต้ลิ้น ให้นำมาอม, ห้ามให้ผู้ป่วยกินหรือดื่มอะไร, เตรียมพร้อมทำ CPR ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)

อาการ: F.A.S.T.
F (Face): หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว
A (Arms): แขนขาอ่อนแรง ยกแขนไม่ขึ้น
S (Speech): พูดไม่ชัด พูดลำบาก หรือพูดไม่ได้
T (Time): รีบโทร 1669 ทันที! ทุกนาทีมีค่า
การปฐมพยาบาล: โทร 1669, ให้ผู้ป่วยนอนราบ, ห้ามให้ผู้ป่วยกินหรือดื่มอะไร, เตรียมพร้อมทำ CPR ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจ

การชัก

อาการ: ตัวเกร็ง กระตุก, ตาเหลือก, น้ำลายฟูมปาก, อาจกัดลิ้นตัวเอง
การปฐมพยาบาล: อย่าพยายามจับยึดตัวผู้ป่วย, หาหมอนหรือผ้านุ่มๆ รองศีรษะ, จับผู้ป่วยนอนตะแคง เพื่อป้องกันการสำลัก, ห้ามเอาอะไรใส่ปากผู้ป่วย, รอจนกว่าผู้ป่วยจะหยุดชักเอง, โทร 1669 ถ้าชักนานเกิน 5 นาที หรือชักซ้ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

อาการ: เหงื่อออกมาก, ใจสั่น, หน้ามืด, หิว, อ่อนเพลีย, สับสน, อาจหมดสติ
การปฐมพยาบาล: ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัว ให้ดื่มน้ำหวาน หรือลูกอม, ถ้าหมดสติ โทร 1669 ทันที

การดูแลบาดแผล

บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องดูแลให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

แผลถลอก แผลฉีกขาด

ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่
ซับแผลให้แห้ง
ปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ หรือผ้าสะอาด

การห้ามเลือด

ใช้ผ้าสะอาดกดแผล หากเลือดยังไม่หยุด ให้ยกส่วนที่เลือดออกให้สูงกว่าระดับหัวใจ ถ้าเลือดยังออกมาก ให้กดที่จุดชีพจรเหนือแผล (เช่น ถ้าเลือดออกที่มือ ให้กดที่ข้อมือ)

การปฐมพยาบาลเมื่อถูกสัตว์กัดต่อย

แมลงกัดต่อย: ถ้ามีเหล็กใน ให้เอาออก (ระวังอย่าบีบ), ล้างแผล, ประคบเย็น, ถ้ามีอาการแพ้รุนแรง (หายใจลำบาก หน้าบวม) โทร 1669 ทันที
สัตว์มีพิษกัด (งู, แมงป่อง): ล้างแผล, อย่าขยับบริเวณที่ถูกกัด, จดจำลักษณะสัตว์ที่กัด, โทร 1669

ฝึกอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น CPR และ AED

ทำไมถึงต้องเรียน?

การเข้ารับการอบรมจะทำให้คุณ:

  • มีความรู้และทักษะที่ถูกต้อง: ได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ และฝึกปฏิบัติจริง
  • มีความมั่นใจ: เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน คุณจะรู้ว่าต้องทำอะไร
  • ช่วยชีวิตคนได้: คุณอาจเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยชีวิตคนในนาทีวิกฤตได้

มีหลายหน่วยงานที่เปิดอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้น CPR และ AED ลองค้นหาในอินเทอร์เน็ต หรือสอบถามโรงพยาบาลใกล้บ้านคุณ

สรุป

การปฐมพยาบาลเบื้องต้น CPR และ AED เป็นทักษะชีวิตที่สำคัญ ที่สามารถช่วยชีวิตคนในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ อย่าคิดว่า "คงไม่เกิดขึ้นกับเราหรอก" เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ การมีความรู้และเตรียมพร้อม จะทำให้คุณเป็น "ผู้ให้" ที่ยิ่งใหญ่ และอาจเป็นผู้ที่มอบ "ลมหายใจ" ให้กับใครบางคนได้อีกครั้ง

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

    1. CPR ยากไหม?

      ไม่ยากอย่างที่คิด! หลักการคือการกดหน้าอกและช่วยหายใจ แต่การฝึกอบรมจะช่วยให้คุณทำได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ

    2. AED ใช้ยากไหม?

      AED ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เครื่องจะบอกขั้นตอนให้เราทำตาม แต่การฝึกอบรมจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับเครื่องมากขึ้น

    3. ถ้าทำ CPR แล้วผู้ป่วยไม่ฟื้น จะมีความผิดไหม?

      ไม่ต้องกังวล! กฎหมายคุ้มครองผู้ที่ให้การช่วยเหลือตามสมควรแก่เหตุ โดยสุจริตใจ

    4. ต้องทำ CPR นานแค่ไหน?

      ทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกว่าทีมกู้ชีพจะมาถึง หรือผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกตัว หรือมีสัญญาณชีพกลับคืนมา

    5. หาที่อบรม CPR และ AED ได้ที่ไหน?

โรงพยาบาล, สภากาชาดไทย, มูลนิธิหัวใจ, บริษัทเอกชนที่ให้บริการด้านความปลอดภัย และศูนย์ฝึกอบรมต่างๆ มักจะมีการจัดอบรมอยู่เสมอครับ ลองค้นหาในอินเทอร์เน็ต หรือสอบถามโรงพยาบาลใกล้บ้านได้เลย

หลักสูตร First Aid – CPR and AED (การปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วย CPR และ AED)

มากกว่า CPR: ขยายขอบเขตการปฐมพยาบาล

แม้ CPR และ AED จะเป็นหัวใจสำคัญในการกู้ชีพ แต่การปฐมพยาบาลไม่ได้จำกัดอยู่แค่นั้น ยังมีสถานการณ์อีกมากมายที่เราต้องเผชิญ และการมีความรู้ที่ครอบคลุมจะช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

การจัดการกับภาวะช็อก (Shock)

ภาวะช็อกไม่ได้หมายถึงอาการตกใจ แต่เป็นภาวะที่ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่เพียงพอ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสียเลือดมาก การบาดเจ็บรุนแรง การแพ้อย่างรุนแรง หรือการติดเชื้อ

อาการของภาวะช็อก

  • ผิวหนังซีด เย็น และชื้น
  • หายใจเร็วและตื้น
  • ชีพจรเบาและเร็ว
  • กระสับกระส่าย หรือซึมลง
  • อาจหมดสติ

การปฐมพยาบาลภาวะช็อก

  1. โทร 1669 ทันที
  2. ให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกขาให้สูงขึ้นเล็กน้อย (ถ้าไม่มีการบาดเจ็บที่ขาหรือกระดูกสันหลัง)
  3. คลายเสื้อผ้าให้หลวม
  4. ห่มผ้าให้ความอบอุ่น
  5. ห้ามให้ผู้ป่วยกินหรือดื่มอะไร
  6. ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ให้ตรวจสอบการหายใจและเตรียมพร้อมทำ CPR

การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ

ไม่ว่าจะเป็นอาหารติดคอ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ อุดกั้นทางเดินหายใจ ล้วนเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบแก้ไข

สัญญาณบ่งบอกว่ามีสิ่งอุดกั้นทางเดินหายใจ

  • จับคอตัวเอง
  • หายใจลำบาก หรือหายใจมีเสียงดัง
  • ไอไม่ออก พูดไม่ได้
  • ริมฝีปากและผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ

การช่วยเหลือ (Heimlich Maneuver)

สำหรับผู้ใหญ่และเด็กโต:

  1. ยืนข้างหลังผู้ป่วย โอบรอบเอว
  2. กำมือข้างหนึ่งวางไว้เหนือสะดือเล็กน้อย (ใต้ลิ้นปี่)
  3. ใช้มืออีกข้างหนึ่งจับมือที่กำไว้ แล้วกระแทกเข้าและขึ้นอย่างรวดเร็วและแรง
  4. ทำซ้ำจนกว่าสิ่งอุดกั้นจะหลุดออกมา หรือผู้ป่วยหมดสติ

สำหรับทารก:

  1. อุ้มทารกคว่ำหน้าลงบนแขน ให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว
  2. ใช้ฝ่ามือตบหลังทารก (ระหว่างกระดูกสะบัก) 5 ครั้ง
  3. พลิกทารกหงายขึ้น ใช้นิ้วสองนิ้วกดหน้าอก (ตำแหน่งเดียวกับ CPR) 5 ครั้ง
  4. ทำสลับกันไปเรื่อยๆ จนกว่าสิ่งอุดกั้นจะหลุดออกมา หรือทารกหมดสติ

การปฐมพยาบาลเมื่อได้รับสารพิษ

การได้รับสารพิษอาจเกิดขึ้นได้จากการกิน สูดดม สัมผัสทางผิวหนัง หรือถูกฉีด

สิ่งที่ควรทำ

  • โทร 1669 หรือศูนย์พิษวิทยา (1367) ทันที
  • พยายามระบุชนิดของสารพิษ และปริมาณที่ได้รับ
  • ถ้าสารพิษสัมผัสผิวหนัง ให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดจำนวนมาก
  • ถ้าสารพิษเข้าตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 15 นาที
  • ห้ามพยายามทำให้อาเจียน *ยกเว้น* ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือศูนย์พิษวิทยา

การปฐมพยาบาลในสถานการณ์เฉพาะ

นอกจากภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์แล้ว ยังมีสถานการณ์อื่นๆ ที่เราอาจต้องเผชิญ เช่น

ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

  • ดับไฟ หรือนำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ
  • ลดความร้อนของแผลด้วยน้ำเย็น (ไม่ใช้น้ำแข็ง) อย่างน้อย 10 นาที
  • ถอดเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับที่อยู่ใกล้บริเวณแผล *ยกเว้น* สิ่งที่ติดแน่นกับแผล
  • ปิดแผลด้วยผ้าสะอาด
  • ห้ามใช้ยาสีฟัน น้ำปลา หรือสิ่งอื่นๆ ทาแผล
  • นำส่งโรงพยาบาล

จมน้ำ

  • นำผู้ป่วยขึ้นจากน้ำ
  • ตรวจสอบการหายใจ ถ้าไม่หายใจ ให้เริ่มทำ CPR
  • โทร 1669
  • ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

ไฟฟ้าช็อต

  • ตัดกระแสไฟฟ้าก่อนเข้าไปช่วยเหลือ (ถ้าทำได้)
  • ตรวจสอบการหายใจ ถ้าไม่หายใจ ให้เริ่มทำ CPR
  • โทร 1669
  • สังเกตและดูแลแผลไหม้ (ถ้ามี)

เตรียมพร้อมเสมอ: ชุดปฐมพยาบาลและเบอร์โทรฉุกเฉิน

การมีชุดปฐมพยาบาลติดบ้าน ติดรถ หรือพกติดตัว จะช่วยให้คุณรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเล็กๆ น้อยๆ ได้ทันที และอย่าลืมบันทึกเบอร์โทรฉุกเฉินที่สำคัญไว้ในโทรศัพท์มือถือของคุณด้วย

  • 1669: สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ทั่วประเทศ)
  • 191: แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย
  • 199: แจ้งเหตุไฟไหม้ ดับเพลิง
  • 1367: ศูนย์พิษวิทยา
  • 1155: ตำรวจท่องเที่ยว

บทสรุป: การปฐมพยาบาลคือการให้โอกาส

การปฐมพยาบาลไม่ใช่เพียงแค่การทำตามขั้นตอน แต่คือการมอบโอกาสในการรอดชีวิตให้กับผู้อื่น และเป็นการแสดงความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ การมีความรู้และทักษะที่ถูกต้อง จะทำให้คุณเป็น "ผู้ให้" ที่พร้อมช่วยเหลือในทุกสถานการณ์

Engine by shopup.com