1. ทำไมโค้ชชิ่งจึงสำคัญในยุคการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วทำให้คำตอบประสบการณ์เดิมอาจไม่พออีกต่อไป โค้ชชิ่ง (Coaching) จึงเป็นกระบวนการที่ช่วยให้แต่ละคนค้นพบทางของตัวเอง เพิ่มทักษะในการเรียนรู้ และติดตามผลการพัฒนาอย่างเป็นระบบ

• โค้ชชิ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการเป็นผู้นำที่แท้จริงและรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น
• โค้ชชิ่งไม่ใช่การให้คำตอบ แต่เป็นการตั้งคำถามที่ทำให้ผู้ถูกโค้ชเห็นทาง
• โค้ชชิ่งสามารถขยายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ที่ทุกคนได้รับการพัฒนา

2. แรงบันดาลใจจากโค้ชชิ่ง: 3 กุญแจสำคัญ

2.1 ตั้งเป้าหมายที่มีความหมาย

เป้าหมายที่เชื่อมกับค่านิยมและคุณค่าของผู้ถูกโค้ชจะสร้างแรงขับเคลื่อนที่ยั่งยืนกว่าเป้าหมายที่เป็นเพียงตัวเลข

2.2 ใช้กรอบโค้ชชิ่งที่ชัดเจน — ตัวอย่าง: GROW

GROW (Goal–Reality–Options–Will) เป็นกรอบที่ช่วยให้การสนทนามีทิศทาง ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมาย ประเมินสถานการณ์ ไปจนถึงการเลือกทางเลือกและลงมือทำ

2.3 สร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนการเติบโต

การให้โค้ชชิ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการประเมินและพัฒนาบุคลากร ทำให้องค์กรเป็นที่ที่คนกล้าเรียนรู้และกล้าทดลอง ซึ่งเป็นพื้นฐานของนวัตกรรม

3. เทคนิคที่โค้ชและผู้นำควรใช้

• เริ่มด้วยคำถามไม่ใช่คำตอบ: คำถามทรงพลังช่วยให้ผู้ถูกโค้ชเชื่อมโยงเป้าหมายกับแรงจูงใจของตัวเอง
• ฟังเชิงลึก: ฟังทั้งสิ่งที่ถูกพูดและสิ่งที่ยังไม่ได้พูด
• ยืนยันความก้าวหน้า: ให้ผู้ถูกโค้ชเห็นพัฒนาการเล็ก ๆ เพื่อรักษาแรงจูงใจ
• ติดตามผลชัดเจน: กำหนดการติดตามและวัดผล เพื่อเปลี่ยนแรงบันดาลใจเป็นพฤติกรรมที่สม่ำเสมอ

"โค้ชชิ่งไม่ได้ให้คำตอบ แต่ช่วยให้คนค้นพบคำตอบของตัวเอง" — แนวปฏิบัติที่นำไปใช้ได้จริง

4. ประโยชน์ต่อองค์กร

การนำโค้ชชิ่งมาเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาองค์กร ช่วยให้พนักงานมีความผูกพัน ทำงานมีประสิทธิภาพ และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น

• เพิ่ม engagement และ retention ของพนักงาน
• ส่งเสริมผู้นำที่มีความยืดหยุ่นและสร้างแรงบันดาลใจ
• สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในองค์กร

5. แนวทางเริ่มต้นสำหรับองค์กร (Checklist)

1. ฝึกผู้นำระดับกลางให้เป็นโค้ชพื้นฐาน
2. ตั้งระบบติดตามเป้าหมายส่วนบุคคลและทีม
3. รวมกิจกรรมโค้ชชิ่งเข้าในรอบการพัฒนา (performance cycle)
4. วัดผลเชิงพฤติกรรม เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมการสื่อสาร และการตัดสินใจ

อ้างอิงและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม